5 สายพันธุ์ไก่ไข่ที่เหมาะสำหรับการเลี้ยงในประเทศไทย พร้อมเคล็ดลับการใช้รั้วตาข่ายให้คุ้มค่า

ไก่ไข่เป็นสัตว์เศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศไทย โดยมีการเลี้ยงไก่กันอย่างแพร่หลาย ไก่ไข่เป็นแหล่งโปรตีนที่สำคัญและเป็นวัตถุดิบในการทำอาหารหลากหลายชนิด นอกจากนี้ ไก่ไข่ยังเป็นสัตว์เลี้ยงที่น่ารักและเป็นมิตรกับมนุษย์อีกด้วย ในประเทศไทยยุคนี้ที่ความต้องการบริโภคไข่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง การเลี้ยงไก่ไข่จึงเป็นหนึ่งในอาชีพที่มีความสำคัญในประเทศไทย ทั้งในระดับครัวเรือนและเชิงพาณิชย์ การเลือกสายพันธุ์ไก่ไข่ที่เหมาะสมจึงเป็นปัจจัยสำคัญในการเพิ่มผลผลิต และเมื่อรวมกับการจัดการพื้นที่เลี้ยงอย่างเหมาะสม เช่น การใช้ล้อมรั้วตาข่าย ก็จะช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการเลี้ยงได้อย่างยั่งยืน วันนี้เรามาทำความรู้จักไก่ 5 สายพันธุ์ที่เหมาะสำหรับการเลี้ยงในประเทศไทย
1. โลห์มันน์ บราวน์ (Lohmann Brown) ไก่ไข่ยอดนิยมที่คุณควรรู้จัก

Lohmann Brown เป็นสายพันธุ์ไก่ไข่ที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายทั่วโลก รวมถึงในประเทศไทย ด้วยที่นิยมเลี้ยงไก่สายพันธุ์นี้ ลักษณะเด่นที่โดดเด่นและผลผลิตที่น่าประทับใจ ทำให้ไก่พันธุ์นี้เป็นตัวเลือกอันดับต้น ๆ สำหรับเกษตรกรและผู้ที่สนใจเลี้ยงไก่ไข่เพื่อการค้าหรือบริโภคภายในครัวเรือน ไก่สายพันธุ์นี้มีลักษณะเด่นที่สำคัญคือ การให้ผลผลิตไข่คุณภาพสูง เปลือกไข่มีสีน้ำตาลเข้ม แข็งแรง และไข่มีขนาดใหญ่
ลักษณะเด่นของไก่ Lohmann Brown
- สีขน: มีสีน้ำตาลเข้มสวยงามทั่วตัว
- ขนาด: มีขนาดกลางถึงใหญ่
- อายุเริ่มไข่: เริ่มวางไข่ได้ตั้งแต่อายุประมาณ 19 สัปดาห์
- ปริมาณไข่: วางไข่ได้มากถึง 320 ฟองต่อปี
- คุณภาพไข่: ไข่มีเปลือกสีน้ำตาลเข้ม ขนาดใหญ่ และมีคุณภาพดี
- นิสัย: เป็นไก่ที่แข็งแรง ทนทานต่อสภาพอากาศ และมีนิสัยเรียบร้อย
เหตุผลที่ ไก่ โลห์มันน์ บราวน์ (Lohmann Brown) เป็นที่นิยมในการเลี้ยงไก่
- ผลผลิตสูง: ให้ผลผลิตไข่ที่สูงและสม่ำเสมอตลอดทั้งปี
- ไข่คุณภาพดี: ไข่มีขนาดใหญ่และมีคุณภาพดี รสชาติอร่อย
- แข็งแรง ทนทาน: สามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมได้ดี ทนต่อโรคและสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง
- เติบโตเร็ว: เติบโตเร็วและพร้อมที่จะวางไข่ได้เร็ว
- ได้รับการปรับปรุงพันธุ์อย่างต่อเนื่อง: สายพันธุ์นี้ได้รับการปรับปรุงพันธุ์อย่างต่อเนื่องเพื่อให้ได้ผลผลิตที่ดีขึ้นและมีคุณสมบัติที่เหมาะสมกับการเลี้ยงเชิงพาณิชย์
2. โรดไอส์แลนด์ เรด (Rhode Island Red) ไก่พันธุ์อเนกประสงค์ที่น่าสนใจ

โรดไอส์แลนด์ เรด เป็นสายพันธุ์ไก่ที่มีต้นกำเนิดจากรัฐโรดไอแลนด์ ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นไก่ที่ได้รับความนิยมอย่างมากทั้งในประเทศไทยและทั่วโลก ด้วยลักษณะเด่นที่โดดเด่นและประโยชน์ใช้สอยที่หลากหลาย ทำให้ไก่พันธุ์นี้เป็นที่สนใจของทั้งผู้เลี้ยงมืออาชีพและผู้ที่ต้องการเลี้ยงไก่ไว้เป็นสัตว์เลี้ยง ไก่พันธุ์นี้เลี้ยงง่าย ให้ผลผลิตดี และมีคุณค่าทางโภชนาการสูง
พันธุ์ไก่โรดไอส์แลนด์ เรด กับ โรดไทย ?
หลายคนอาจสับสนระหว่างโรดไอส์แลนด์ เรด กับ โรดไทย ซึ่งโรดไทยนั้นเป็นสายพันธุ์ที่พัฒนาขึ้นจากโรดไอส์แลนด์ เรด โดยมีการปรับปรุงพันธุ์ให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมในประเทศไทยมากยิ่งขึ้น โรดไทยจะมีขนาดเล็กกว่าโรดไอส์แลนด์ เรด เล็กน้อย และมีผลผลิตไข่ที่อาจจะน้อยกว่าเล็กน้อย แต่ก็ยังคงเป็นไก่ที่ได้รับความนิยมเช่นกัน
ลักษณะเด่น
- ขน: สีแดงเข้มจนถึงน้ำตาลเข้ม ขนเงา
- หงอน: ขนาดใหญ่ สีแดงเข้ม มักเอนไปด้านข้างเล็กน้อยในตัวเมีย
- ผิวหนัง: สีเหลือง
- ตา: กลม สีเหลืองหรือส้ม
- ลักษณะร่างกาย: ตัวใหญ่ ทรงกระบอก แข็งแรง
- น้ำหนัก: ตัวเมียประมาณ 5 กิโลกรัม ตัวผู้ประมาณ 3 กิโลกรัม
- นิสัย: เป็นไก่ที่แข็งแรง ทนทานต่อสภาพอากาศ พฤติกรรมกระตือรือร้น
เหตุผลที่พันธุ์โรดไอส์แลนด์ เรดเป็นที่นิยมเลี้ยง
- อเนกประสงค์: สามารถผลิตทั้งเนื้อและไข่ได้ ทำให้เลี้ยงได้อย่างคุ้มค่า
- ไข่คุณภาพดี: ไข่มีขนาดใหญ่และมีคุณภาพดี รสชาติอร่อย
- แข็งแรง ทนทาน: สามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมได้ดี ทนต่อโรคและสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง
- เลี้ยงง่าย: ไม่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษมากนัก
- สวยงาม: มีสีขนที่สวยงาม ทำให้เป็นไก่ที่น่าเลี้ยง
3.เลกฮอร์น (Leghorn): ราชินีแห่งไก่ไข่ที่ครองใจผู้เลี้ยงทั่วโลก

เลกฮอร์น (Leghorn) เป็นสายพันธุ์ไก่ไข่ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็น “ราชินีแห่งไก่ไข่” มาอย่างยาวนาน ด้วยลักษณะเด่นที่โดดเด่นและผลผลิตไข่ที่สูง ทำให้เลกฮอร์นเป็นที่ต้องการของผู้เลี้ยงไก่ทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นเกษตรกรรายย่อยหรือฟาร์มขนาดใหญ่ โดยประวัติความเป็นมา เชื่อกันว่าเลกฮอร์นมีต้นกำเนิดมาจากเมืองเลกฮอร์น ประเทศอิตาลี ซึ่งเป็นที่มาของชื่อสายพันธุ์นี้เอง โดยในอดีตเลกฮอร์นเป็นไก่ที่นิยมเลี้ยงเพื่อการประดับมากกว่าการผลิตไข่ แต่ด้วยการพัฒนาสายพันธุ์อย่างต่อเนื่อง ทำให้เลกฮอร์นกลายเป็นไก่ไข่ที่มีประสิทธิภาพสูงในปัจจุบัน เลกฮอร์นแบ่งออกเป็นหลายสายพันธุ์ย่อย แต่ที่นิยมเลี้ยงกันมากที่สุดคือ เลกฮอร์นขาว (White Leghorn) ซึ่งมีลักษณะเด่นคือขนสีขาวและให้ไข่สีขาว
ลักษณะเด่นที่โดดเด่น
- รูปร่างลักษณะ: มีรูปร่างเรียวเล็ก กระฉับกระเฉง ขนเรียบลื่น ส่วนใหญ่มีสีขาวบริสุทธิ์ แต่ก็มีสายพันธุ์ย่อยที่มีสีอื่นๆ เช่น ดำ แดง น้ำตาล
- หงอน: ส่วนใหญ่เป็นหงอนเดี่ยว (Single comb) สีแดงสด
- ขนาด: มีขนาดกลางถึงเล็ก
- นิสัย: ฉลาด ว่องไว กระตือรือร้น และค่อนข้างตื่นตกใจง่าย
- ผลผลิตไข่: ให้ไข่จำนวนมาก ไข่มีขนาดกลางถึงใหญ่ เปลือกไข่ส่วนใหญ่เป็นสีขาว
- อายุการให้ไข่: เริ่มให้ไข่ตั้งแต่อายุยังน้อย และให้ไข่อย่างสม่ำเสมอตลอดทั้งปี
ทำไมเลกฮอร์นถึงเป็นที่นิยม
- ผลผลิตไข่สูง: เป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องของการให้ไข่จำนวนมากตลอดทั้งปี โดยสามารถให้ไข่ได้มากกว่า 300 ฟองต่อปี
- ไข่คุณภาพดี: ไข่มีขนาดใหญ่และมีคุณภาพดี รสชาติอร่อย เปลือกไข่แข็งแรง
- เติบโตเร็ว: เติบโตเร็วและเริ่มวางไข่ได้ตั้งแต่อายุยังน้อย ทำให้คืนทุนได้เร็ว
- ประสิทธิภาพในการเปลี่ยนอาหาร: สามารถเปลี่ยนอาหารให้เป็นไข่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ลดต้นทุนการผลิต
- ปรับตัวได้ดี: สามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมได้ดี ทนทานต่อโรคและสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง
4. บาร์เรด พลีมัธ ร็อค (Barred Plymouth Rock): ไก่พันธุ์อเนกประสงค์ที่น่าสนใจ

บาร์เรด พลีมัธ ร็อค เป็นสายพันธุ์ไก่ที่มีลักษณะเด่นสวยงาม คือมีขนสีดำสลับขาวเป็นแถบคล้ายขีดเส้น จึงได้ชื่อว่า “บาร์เรด” นอกจากรูปลักษณ์ที่โดดเด่นแล้ว บาร์เรด พลีมัธ ร็อคยังเป็นไก่พันธุ์อเนกประสงค์ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก ทั้งในแง่ของการผลิตไข่และเนื้อ ไข่มีเปลือกสีน้ำตาล และขนาดใหญ่
ลักษณะเด่นของบาร์เรด พลีมัธ ร็อค
- สีขน: มีสีดำสลับขาวเป็นแถบตามขวางของขน (Barred pattern)
- ขนาด: มีขนาดกลางถึงใหญ่
- นิสัย: เป็นไก่ที่แข็งแรง ทนทานต่อสภาพอากาศ และมีนิสัยเรียบร้อย
- ประโยชน์ใช้สอย: เป็นไก่ที่ใช้ประโยชน์ได้ทั้งเนื้อและไข่ (dual-purpose)
- ไข่: ไข่มีขนาดกลางถึงใหญ่ เปลือกไข่มีสีน้ำตาลอ่อน
- ผลผลิตไข่ : ผลผลิตไข่เฉลี่ย 200-240 ฟองต่อปี
เหตุผลที่บาร์เรด พลีมัธ ร็อคเป็นที่นิยม
- อเนกประสงค์: สามารถผลิตทั้งเนื้อและไข่ได้ ทำให้เลี้ยงได้อย่างคุ้มค่า
- ไข่คุณภาพดี: ไข่มีขนาดใหญ่และมีคุณภาพดี รสชาติอร่อย
- แข็งแรง ทนทาน: สามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมได้ดี ทนต่อโรคและสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง
- เลี้ยงง่าย: ไม่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษมากนัก
- สวยงาม: มีสีขนที่สวยงาม ทำให้เป็นไก่ที่น่าเลี้ยง
5. ไฮไลน์ บราวน์ (Hy-Line Brown): ราชินีแห่งไข่สีน้ำตาลที่เกษตรกรทั่วโลกให้ความไว้วางใจ

ไฮไลน์ บราวน์ เป็นสายพันธุ์ไก่ไข่ที่ได้รับความนิยมอย่างสูงทั่วโลก ด้วยลักษณะเด่นที่โดดเด่นและผลผลิตไข่ที่น่าประทับใจ ทำให้ไก่พันธุ์นี้เป็นที่ต้องการของทั้งเกษตรกรรายย่อยและฟาร์มขนาดใหญ่
ลักษณะเด่นของไฮไลน์ บราวน์
- สีขน: ขนมีสีน้ำตาลเข้มสวยงาม ขนหางสีขาวอมน้ำตาล ปีกในสีขาวอมน้ำตาล
- ขนาด: มีขนาดกลาง
- นิสัย: เป็นไก่ที่แข็งแรง ทนทานต่อสภาพอากาศ และมีนิสัยเรียบร้อย
- ผลผลิต: ให้ไข่จำนวนมาก ไข่มีขนาดกลางถึงใหญ่ เปลือกไข่มีสีน้ำตาลเข้มสวยงาม
- อายุการให้ไข่: เริ่มให้ไข่ตั้งแต่อายุยังน้อย และให้ไข่อย่างสม่ำเสมอตลอดทั้งปี
เหตุผลที่ไฮไลน์ บราวน์เป็นที่นิยม
- ผลผลิตไข่สูง: ให้ผลผลิตไข่สูงมาก โดยเฉลี่ยประมาณ 300-320 ฟองต่อปี
- ไข่คุณภาพดี: ไข่มีขนาดใหญ่และมีคุณภาพดี รสชาติอร่อย เปลือกไข่แข็งแรง
- เติบโตเร็ว: เติบโตเร็วและเริ่มวางไข่ได้ตั้งแต่อายุยังน้อย
- ประสิทธิภาพในการเปลี่ยนอาหาร: สามารถเปลี่ยนอาหารให้เป็นไข่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ปรับตัวได้ดี: สามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมได้ดี ทนทานต่อโรคและสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง
การเลือกสายพันธุ์ไก่ไข่ขึ้นอยู่กับเป้าหมายและสภาพแวดล้อมของการเลี้ยงไก่
- หากเน้นผลผลิตไข่สูงและลดต้นทุน Lohmann Brown และ Leghorn เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด
- หากต้องการไก่สองวัตถุประสงค์สำหรับเนื้อและไข่ Rhode Island Red และ Barred Plymouth Rock จะเหมาะสมกว่า
- สำหรับฟาร์มที่ต้องการความต่อเนื่องและคุณภาพในผลผลิตไข่ Hy-Line Brown ตอบโจทย์ได้ดี
การเลี้ยงไก่ไข่ในประเทศไทยสามารถประสบความสำเร็จได้ผลผลิตที่ดี ได้ด้วยการเลือกสายพันธุ์ที่เหมาะสมและการจัดการพื้นที่เลี้ยงที่มีประสิทธิภาพ รวมถึงประเทศไทยเป็นประเทศที่มีสภาพแวดล้อมเหมาะสมสำหรับการเลี้ยงไก่ไข่ การเลือกสายพันธุ์ที่เหมาะสมไม่เพียงช่วยเพิ่มผลผลิต แต่ยังช่วยลดต้นทุนและสร้างความยั่งยืนให้กับเกษตรกรอีกด้วย
รั้วตาข่าย: ทางเลือกที่เหมาะสมสำหรับการเลี้ยงไก่

รั้วตาข่ายเป็นรั้วทางเลือกในการล้อมรั้ว
รั้วตาข่ายเป็นหนึ่งในตัวเลือกยอดนิยมสำหรับการล้อมรั้วในปัจจุบัน เนื่องจากมีความแข็งแรง ทนทาน และติดตั้งง่าย สามารถประยุกต์ใช้ในหลากหลายพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นฟาร์มเลี้ยงสัตว์ สนามกีฬา หรือพื้นที่เกษตรกรรม โดยเฉพาะสำหรับฟาร์มเลี้ยงไก่ รั้วตาข่ายช่วยป้องกันไก่หลุดออกจากพื้นที่เลี้ยงและยังสามารถป้องกันสัตว์อื่นๆ ที่อาจเข้ามาคุกคามไก่ในฟาร์มได้อีกด้วย
2.ควรเลือกรุ่นไหนที่ตอบโจทย์ในการล้อมเลี้ยงไก่
ในการเลือกรั้วตาข่ายสำหรับเลี้ยงไก่ ควรพิจารณาจากความเหมาะสมของพื้นที่และชนิดของไก่ที่เลี้ยง:
- ตาข่ายพลากสติก PP: ตาข่ายพลากสติก ทนแดด ทนฝน ช่องถี่ 2*2 ซม. เหมาะสำหรับไก่ตัวเล็กๆ ป้องกันการออกนอกพื้นที่ได้
- ตาข่ายลวดถักขนาดเล็ก (1-2 นิ้ว): ใช้สำหรับเลี้ยงไก่เล็กหรือไก่ไข่ เพราะช่วยป้องกันไก่เล็ดลอดออกจากพื้นที่
- รั้วตาข่ายถักปม : พันธุ์ไก่เล็ก แนะนำเป็นรั้วตาข่ายถี่ 4×4 ทุกช่อง (ลิงค์ไปหน้าสูง 120 ซม. 4×4 ทุกช่อง) เพื่อป้องกันการลอดออกจากรั้วตาข่ายได้ ในส่วนของความสูงรั้วตาข่าย หากคุณเลี้ยงไก่พันธุ์ที่บินสูง ควรเลือกรั้วที่มีความสูงมากกว่า 5 เมตร เพื่อป้องกันการหลุดออก โดยรั้วตาข่ายเทวดา ( ลิงค์ไปหน้ารั้วตาข่ายถักปม) มีให้เลือกความสูงตั้งแต่ 90 – 190 ซม. ให้เลือกใช้งาน ที่ตอบโจทย์การล้อมรั้วเลี้ยงไก่ได้ทุกสายพันธุ์ เช่น ไก่สายพันธุ์ Lohmann Brown และ Leghorn ซึ่งบินได้ดี ควรเลือกรั้วตาข่ายที่มีความสูงมากกว่า 1.5 เมตร ในขณะที่ไก่พันธุ์ Rhode Island Red หรือ Barred Plymouth Rock อาจไม่ต้องการรั้วที่สูงมากนัก
ล้อมรั้วตาข่ายแล้วดีอย่างไร
การล้อมรั้วตาข่ายมีข้อดีหลายประการสำหรับการเลี้ยงไก่ ได้แก่:
- ความโปร่งใสและระบายอากาศได้ดี: รั้วตาข่ายโปร่ง โล่ง สบายตา ช่วยให้ไก่ได้รับอากาศถ่ายเทได้สะดวก ลดความเครียดในไก่
- ลดต้นทุนการดูแล: ด้วยความแข็งแรงของลวดและอายุการใช้งานที่ยาวนาน ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซม ซึ่งการเลือกรั้วตาข่ายต้องศึกษาคุณภาพของสินค้า ว่าชุบซิงค์ได้มาตรฐานหรือไม่
- ป้องกันสัตว์นักล่า: เช่น สุนัข สัตว์อื่นๆ ไม่สามารถเข้าถึงไก่ในพื้นที่ได้ง่าย
- ติดตั้งง่ายและยืดหยุ่น: สามารถติดตั้งในพื้นที่ต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว และปรับเปลี่ยนขนาดพื้นที่ได้ตามความต้องการ รั้วตาข่ายสามารถติดตั้งได้กับเสาทุกประเภท เช่น เสาเหล็ก เสาปูน หรือเสาไม้ทั่วไป

การเลือกใช้ รั้วตาข่าย สำหรับการเลี้ยงไก่ไม่เพียงช่วยเพิ่มความปลอดภัยและลดต้นทุนในการดูแล แต่ยังทำให้การจัดการฟาร์มของคุณสะดวกและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น หากกำลังมองหารั้วที่เหมาะสม การเลือกรั้วตาข่ายที่ตอบโจทย์ลักษณะการเลี้ยงไก่ของคุณจะช่วยให้ฟาร์มมีความเป็นระเบียบและสร้างผลผลิตที่ดียิ่งขึ้น