วิธีการเลือกรั้วตะแกรงเหล็ก Mesh Fence ให้เหมาะกับบ้านและธุรกิจ

วิธีการเลือกรั้วตะแกรงเหล็ก Mesh Fence ให้เหมาะกับบ้านและธุรกิจ

สารบัญบทความ

Mesh Fence คือรั้วตะแกรงเหล็กทางเลือกยอดนิยมสำหรับบ้านและสถานที่ประกอบธุรกิจในยุคใหม่ ด้วยความแข็งแรง ราคาย่อมเยา และสามารถประยุกต์ใช้ได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นในงานภาคเอกชน เช่น โครงการหมู่บ้านจัดสรร โรงงานอุตสาหกรรม หรือคลังสินค้า ไปจนถึงงานภาคราชการ เช่น โรงเรียน สนามกีฬา หรือสถานที่ราชการต่าง ๆ การเลือกรั้วตะแกรงเหล็ก Mesh Fence ที่เหมาะสมจึงเป็นสิ่งสำคัญที่คุณไม่ควรมองข้าม เพื่อให้ตอบโจทย์ทั้งด้านความปลอดภัย ความสวยงาม และงบประมาณ

Mesh Fence คืออะไร

รั้วตะแกรงเหล็ก Mesh fence คืออะไร

Mesh Fence หรือ รั้วตะแกรงเหล็ก เป็นรั้วที่ผลิตจากเส้นลวดเหล็กเชื่อมต่อกันเป็นแผงตาข่าย โดยมีช่องว่างระหว่างลวดอย่างสม่ำเสมอ ใช้เพื่อป้องกันบุคคลหรือสัตว์เลี้ยงออกนอกพื้นที่ นิยมใช้ทั้งในงานอุตสาหกรรม งานที่พักอาศัย และพื้นที่สาธารณะ ด้วยคุณสมบัติที่ติดตั้งง่าย แข็งแรง และดูแลรักษาง่าย จึงกลายเป็นตัวเลือกยอดนิยมในปัจจุบัน

ปัจจัยสำคัญในการเลือกรั้ว Mesh Fence

ปัจจัยสำคัญในการเลือกรั้ว Mesh fence

ขนาดและความหนาของลวดเหล็ก

ขนาดของลวดที่นิยมในประเทศไทยอยู่ที่ประมาณ 4-6 มม. โดยขนาดลวด 5 มม. ถือเป็นมาตรฐานที่นิยมใช้ในบ้านพักอาศัยและโรงงาน เนื่องจากให้ความแข็งแรงเพียงพอ และมีน้ำหนักไม่มากเกินไป ส่วนลวดขนาด 6 มม. ขึ้นไปเหมาะกับสถานที่ที่ต้องการความปลอดภัยสูง เช่น โรงงานอุตสาหกรรม หรือเขตกักกัน ทั้งนี้ควรพิจารณาความหนาตามลักษณะพื้นที่ใช้งาน หากพื้นที่มีแรงกระแทกบ่อย เช่น โกดังสินค้าหรือพื้นที่สาธารณะ การเลือกใช้ลวดหนาจะยืดอายุการใช้งานได้ดีกว่า

อย่างไรก็ตาม ขนาดลวดที่ใหญ่กว่าไม่ได้หมายความว่าจะมีความแข็งแรงมากกว่าเสมอไป เนื่องจากยังขึ้นอยู่กับคุณสมบัติของลวด เช่น การใช้ลวดแรงดึงสูง (High Tensile Wire) ที่ผ่านกระบวนการผลิตให้มีความแข็งแรงมากขึ้น ทำให้สามารถใช้ลวดขนาดเล็กลงแต่ยังคงประสิทธิภาพในการรับแรงได้เทียบเท่าหรือดีกว่า ช่วยลดน้ำหนักของรั้วและประหยัดต้นทุนในระยะยาว

ตัวอย่างเช่น รั้วตะแกรงเหล็กเทวดา รุ่น Roll Top Fence ที่ใช้ลวดแนวตั้งขนาด 4 มม. และแนวนอนขนาด 5 มม. ซึ่งแม้จะดูบางกว่าแบบทั่วไป แต่ด้วยคุณสมบัติของลวดแรงดึงสูง ทำให้รั้วมีความแข็งแรงทนทาน และเหมาะกับการใช้งานทั้งในพื้นที่พักอาศัยและเชิงพาณิชย์

ขนาดและความหนาของลวดเหล็ก ของรั้ว Mesh fence

การเคลือบผิวป้องกันสนิม

การเลือก Mesh Fence ที่มีคุณภาพสูงไม่สามารถละเลยขั้นตอนสำคัญอย่างการเคลือบผิวลวดเหล็ก ซึ่งเป็นตัวแปรสำคัญที่ส่งผลต่อความทนทาน และอายุการใช้งานของรั้วในระยะยาว ปัจจุบันมีเทคโนโลยีการเคลือบหลายแบบให้เลือกตามความเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมการใช้งาน โดยแต่ละแบบมีคุณสมบัติเด่นต่างกัน ดังนี้:

การเคลือบผิวป้องกันสนิม Mesh fence มีแบบไหนบ้าง

• Mesh Fence ชุบซิงค์ธรรมดา (Galvanized):

เป็นการเคลือบพื้นฐานที่ช่วยป้องกันสนิมได้ในระดับทั่วไป เหมาะสำหรับพื้นที่ภายในหรือพื้นที่ที่ไม่ได้สัมผัสกับความชื้นหรือฝนโดยตรง มีอายุการใช้งานเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 5-10 ปี ทั้งนี้ อายุการใช้งานของการเคลือบซิงค์ธรรมดาจะขึ้นอยู่กับปริมาณของชั้นซิงค์ที่เคลือบลงบนผิวลวด โดยทั่วไป หากชั้นเคลือบซิงค์มีความหนามาก ก็จะสามารถทนต่อการกัดกร่อนได้ดีกว่า ช่วยยืดอายุของรั้วในสภาพแวดล้อมที่มีความชื้นสูงหรือมีฝุ่นเค็มจากทะเล

• Mesh Fence ชุบซิงค์อลูมิเนียม (Zinc-Alu):

ถือเป็นนวัตกรรมใหม่ในการเคลือบที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในรั้ว Mesh Fence สมัยใหม่ โดยการผสมผสานคุณสมบัติของซิงค์และอลูมิเนียมเข้าด้วยกัน ทำให้ทนต่อสนิมและการกัดกร่อนได้ดีกว่าการชุบซิงค์แบบทั่วไปถึง 4 เท่า สามารถยืดอายุการใช้งานของรั้วได้มากกว่า 80 ปีเมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม

รั้วตะแกรงเหล็ก Mesh Fence แบรนด์เทวดา เป็นหนึ่งในแบรนด์ที่นำเทคโนโลยีการชุบซิงค์อลูมิเนียมนี้มาใช้ในกระบวนการผลิต เพื่อให้ได้รั้วที่แข็งแรง ทนทาน คุ้มค่ากับการลงทุนระยะยาว อีกทั้งยังตอบโจทย์การใช้งานในพื้นที่กลางแจ้ง พื้นที่ใกล้ทะเล หรือพื้นที่ที่มีสภาพอากาศแปรปรวนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

• Mesh Fence ชุบเคลือบพีวีซี (PVC Coated):

  • เหมาะกับผู้ที่ต้องการทั้งความทนทานและความสวยงามในเวลาเดียวกัน เนื่องจากชั้นเคลือบพีวีซีจะช่วยป้องกันสนิมอีกชั้น พร้อมเพิ่มสีสันและความกลมกลืนกับสิ่งแวดล้อม เช่น สีเขียว สีดำ หรือสีขาว นิยมใช้ในสวน สนามกีฬา และพื้นที่ที่ต้องการความสวยงามทางสถาปัตยกรรมควบคู่กับฟังก์ชันการใช้งาน

ความถี่ของตะแกรง

ความถี่ของรั้วตะแกรงเหล็ก Mesh fence

ความถี่ของช่องตาข่ายส่งผลโดยตรงต่อประสิทธิภาพในการป้องกัน ช่องที่ถี่มากจะช่วยป้องกันการปีนป่าย การสอดมือ หรือการเล็ดลอดของสัตว์เล็กได้ดีกว่า โดยความถี่ของช่องจะมีผลต่อทั้งระดับความปลอดภัย การระบายอากาศ ความสามารถในการมองทะลุ รวมถึงต้นทุนของวัสดุที่ใช้ในการผลิตรั้ว ดังนั้นการเลือกขนาดช่องจึงควรสอดคล้องกับลักษณะการใช้งานและสถานที่ติดตั้ง

ที่สำคัญ ช่องตะแกรงที่มีความถี่มากจะต้องใช้ปริมาณลวดเหล็กต่อแผงมากขึ้น ส่งผลให้ต้นทุนรวมของรั้วสูงขึ้นตามไปด้วย หากเลือกความถี่ที่ไม่เหมาะสมกับวัตถุประสงค์ อาจทำให้เกิดค่าใช้จ่ายเกินความจำเป็น ดังนั้นการประเมินเป้าหมายการใช้งานและงบประมาณจึงเป็นเรื่องที่ควรพิจารณาร่วมด้วย

ขนาดช่อง (ซม.)
ลักษณะการใช้งาน
จุดเด่น / ประโยชน์
5×20 ซม.
โรงงาน, โกดัง, พื้นที่ปลอดภัยระดับปานกลาง
ช่องถี่แนวตั้ง ป้องกันปีนป่ายหรือสอดมือผ่านได้ดี ระบายอากาศได้มากขึ้นกว่าขนาด 5×10 และยังดูเป็นระเบียบเรียบร้อย เหมาะกับพื้นที่ที่ต้องการควบคุมการเข้าถึงแต่ยังคงความโปร่ง แต่มีต้นทุนต่อแผงสูงกว่าแบบช่องกว้าง
10×20 ซม.
พื้นที่อุตสาหกรรม, โรงเรือน, โครงการหมู่บ้าน
เหมาะสำหรับพื้นที่ที่ต้องการความโปร่งสบาย มองเห็นภายในได้ดี แต่ยังมีความแข็งแรงพอควร ช่วยประหยัดวัสดุและลดน้ำหนักของแผงรั้วได้ ทำให้ต้นทุนอยู่ในระดับกลาง
7.5×30 ซม.
รั้วกั้นโซน, โรงงานขนาดใหญ่, พื้นที่ลานจอดรถ
ช่องขนาดกลางให้ความสมดุลระหว่างการระบายอากาศและการควบคุมเส้นทางสัญจร ใช้งานได้หลากหลายทั้งในเชิงอุตสาหกรรมและเชิงพาณิชย์ ต้นทุนอยู่ในระดับประหยัด
10×30 ซม.
พื้นที่เกษตรกรรม, พื้นที่พักผ่อน, กั้นรั้วสนาม
ช่องกว้าง มองทะลุสะดวก ช่วยประหยัดงบประมาณในโครงการขนาดใหญ่ที่ไม่เน้นการป้องกันสูงมาก เช่น แปลงเกษตรหรือสนามหลังบ้าน เป็นขนาดที่คุ้มค่ามากที่สุดในด้านต้นทุน

แนวทางการเลือก:

  • หากต้องการ ความปลอดภัยและป้องกันการบุกรุก เช่น กั้นพื้นที่ให้สัตว์เลี้ยงหรือป้องกันเด็กเล็ก ขนาด 5×20 ซม. เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด เพราะช่องถี่ช่วยจำกัดการผ่านของมือหรือวัตถุขนาดเล็ก
  • หากต้องการ มุมมองเปิดโล่งและความโปร่ง แต่ยังมีความแข็งแรงในระดับหนึ่ง 10×20 ซม. เหมาะสมที่สุด โดยยังรองรับแรงกระแทกได้ดี
  • สำหรับการใช้งานเชิงพาณิชย์หรือแบ่งโซน 7.5×30 ซม. ช่วยให้งานดูเรียบร้อย เหมาะกับพื้นที่ที่มีการเดินทางเข้า-ออกบ่อย และต้องการความปลอดภัยระดับปานกลาง
  • ต้องการประหยัดงบและใช้ในพื้นที่ที่ไม่เน้นความปลอดภัย เช่น รั้วในสวนหรือพื้นที่เกษตรกรรม 10×30 ซม. คือทางเลือกที่ดี ให้ความโปร่งและต้นทุนต่ำ

ประเภทของ Mesh Fence ที่ควรรู้

ประเภทของ Mesh Fence ที่ควรรู้ เเละนิยมในประเทศไทย

ในประเทศไทยมีรั้วตะแกรงเหล็ก (Mesh Fence) หลากหลายประเภทที่ตอบโจทย์การใช้งานและงบประมาณที่แตกต่างกัน โดยสามารถจำแนกออกเป็นประเภทหลัก ๆ ดังนี้:

รั้วตะแกรงเหล็ก Mesh Fence แบบ Roll Top

รั้วตะแกรงเหล็ก Mesh fence แบบ Roll Top
  1. รั้วตะแกรงเหล็กแบบ Roll Top (Roll Top Mesh Fence) มีการพับขอบบนและล่างของรั้วให้โค้งมน เป็นรูปสามเหลี่ยม ซึ่งช่วยป้องกันการบาดเจ็บจากการสัมผัส และเพิ่มความแข็งแรงให้กับโครงสร้างรั้ว นิยมชุบกัลวาไนซ์แบบจุ่มร้อน หรือใช้เทคโนโลยีชุบซิงค์อลูมิเนียมเพื่อยืดอายุการใช้งาน เหมาะสำหรับพื้นที่ที่ต้องการความปลอดภัยสูงเป็นพิเศษ เช่น สนามเด็กเล่น โรงเรียน โรงพยาบาล หรือหน่วยงานราชการ ตัวอย่างเช่น รั้วตะแกรงเหล็ก Mesh Fence Roll Top เทวดา ที่สามารถใช้งานได้ยาวนานถึง 80 ปี

รั้วตะแกรงเหล็ก Mesh Fence แบบ 3D - เเบบ V-shape

รั้วตะแกรงเหล็ก Mesh fence แบบ 3D - เเบบ V-shape
  1. รั้วตะแกรงเหล็กแบบ 3D Panel (3D Mesh Fence) รั้วประเภทนี้มีการพับลอนแนวลวดแนวนอนเป็นรูปตัว V หรือสามเหลี่ยมบริเวณกลางแผงรั้ว เพื่อเพิ่มความแข็งแรง ลดการสั่นไหว และยังช่วยให้รูปทรงดูทันสมัยมากขึ้น การเคลือบผิวมักใช้การชุบกัลวาไนซ์แบบจุ่มร้อน (Hot-Dip Galvanized) ชุบซิงค์อลูมิเนียม (Zinc-Alu) หรือเคลือบพีวีซี (PVC Coated) เพื่อเพิ่มอายุการใช้งาน เหมาะสำหรับบ้านพักอาศัย สนามกีฬา โรงเรียน และพื้นที่สาธารณะ ตัวอย่างที่นิยมคือรั้วตะแกรงเหล็ก Mesh fence 3D ทำให้สามารถใช้งานได้ยาวนานถึง 80 ปี

รั้วตะแกรงเหล็ก Mesh Fence แบบ Arrow Shape

รั้วตะแกรงเหล็ก Mesh fence แบบ Arrow Shape
  1. รั้วตะแกรงเหล็กแบบ Arrow Shape (Arrow Mesh Fence) รั้วประเภทนี้ถูกออกแบบให้ปลายบนของรั้วมีลักษณะเป็นหัวลูกศรหรือแหลม เพื่อเพิ่มความปลอดภัย ป้องกันการปีนป่าย และให้ภาพลักษณ์ที่แข็งแกร่ง นิยมใช้ในโรงงาน โครงการบ้านจัดสรร และพื้นที่ที่ต้องการความปลอดภัยสูง การเคลือบผิวเลือกใช้ทั้งแบบกัลวาไนซ์และพีวีซี

รั้วตะแกรงเหล็ก แบบตาข่ายถัก (Chain Link Fence)

รั้วตะแกรงเหล็ก แบบตาข่ายถัก (Chain Link Fence)
  1. รั้วตะแกรงเหล็กแบบตาข่ายถัก (Chain Link Fence) ผลิตจากลวดเหล็กถักเป็นตาข่ายรูปสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัด เป็นรั้วที่ต้นทุนต่ำ ติดตั้งง่าย และเหมาะสำหรับพื้นที่กว้าง เช่น สนามกีฬา ฟาร์ม และพื้นที่เกษตรกรรม สามารถเคลือบผิวได้ทั้งแบบกัลวาไนซ์และพีวีซี เหมาะกับงานที่ไม่ต้องการความปลอดภัยสูงมากแต่ต้องการแบ่งพื้นที่ชัดเจน

ข้อดีและข้อเสียของ Mesh Fence

ข้อดีและข้อเสียของรั้วตะแกรงเหล็ก Mesh Fence

ข้อดี:

  • ติดตั้งง่ายและรวดเร็ว: ใช้แรงงานและเวลาน้อยกว่ารั้วแบบปูนหรือรั้วเหล็กดัด
  • แข็งแรงทนทาน: ด้วยวัสดุเหล็กแรงดึงสูง รองรับแรงกระแทกและการใช้งานหนักได้ดี
  • ราคาคุ้มค่า: ค่าใช้จ่ายในการติดตั้งและวัสดุถูกกว่ารั้วชนิดอื่นในระดับความปลอดภัยเท่ากัน
  • ดูแลรักษาง่าย: ไม่ต้องทาสีหรือบำรุงรักษาบ่อย เพียงตรวจสอบความแน่นของตัวยึด
  • มองทะลุได้: ช่วยให้ตรวจสอบพื้นที่หลังรั้วได้ง่าย เหมาะสำหรับพื้นที่ที่ต้องการความโปร่ง

ข้อเสีย:

  • ให้ความเป็นส่วนตัวน้อย: อาจไม่เหมาะกับบ้านพักอาศัยที่ต้องการความเป็นส่วนตัว
  • ดีไซน์จำกัด: ไม่สามารถตกแต่งได้หลากหลายแบบเท่ารั้วไม้ รั้วอิฐ หรือรั้วเหล็กสั่งทำ
  • อาจเกิดสนิม: หากไม่ได้ใช้วัสดุที่มีการเคลือบผิวคุณภาพสูง

เคล็ดลับการเลือกผู้รับเหมาติดตั้ง

เคล็ดลับการเลือกผู้รับเหมาติดตั้ง ของรั้วตะแกรงเหล็ก Mesh fence
  • เลือกผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน Mesh Fence: เพราะมีเทคนิคการติดตั้งเฉพาะ ไม่เหมือนรั้วทั่วไป
  • ขอดูตัวอย่างผลงานจริง: เพื่อวัดคุณภาพการติดตั้ง ความเรียบร้อย และวัสดุที่ใช้
  • เปรียบเทียบใบเสนอราคาหลายเจ้า: เพื่อให้ได้ราคาที่สมเหตุสมผล และบริการครบถ้วน
  • ตรวจสอบความโปร่งใสของผู้รับเหมา: เช่น มีบริษัทหรือทะเบียนพาณิชย์ชัดเจน

แนะนำ: รั้วตะแกรงเหล็กเทวดา มีเครือข่ายผู้รับเหมามืออาชีพและบริการให้คำปรึกษา

สรุป Mesh Fence

Mesh Fence เป็นทางเลือกยอดนิยมที่ตอบโจทย์ทั้งด้านการใช้งาน ความปลอดภัย และความประหยัด เหมาะสำหรับทุกพื้นที่ ตั้งแต่บ้านพักอาศัยไปจนถึงโรงงานอุตสาหกรรมและหน่วยงานราชการ ด้วยจุดเด่นด้านการติดตั้งง่าย วัสดุแข็งแรง และดีไซน์ที่สามารถปรับเปลี่ยนให้เข้ากับสภาพแวดล้อมได้หลากหลาย Mesh Fence จึงเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ควรพิจารณาเมื่อต้องการติดตั้งรั้ว

การเลือก Mesh Fence ที่ดีควรเริ่มจากการประเมินวัตถุประสงค์ของการใช้งาน เช่น ต้องการป้องกันการบุกรุก การปีนป่าย หรือเพียงเพื่อแบ่งขอบเขตพื้นที่ จากนั้นจึงเลือกความถี่ของช่องตาข่าย ขนาดและความหนาของลวด และการเคลือบผิวที่เหมาะสม การเลือกวัสดุที่มีการเคลือบซิงค์อลูมิเนียม หรือพีวีซี จะช่วยให้รั้วมีอายุการใช้งานยาวนานขึ้นและลดภาระการดูแลในระยะยาว

สุดท้าย อย่าลืมให้ความสำคัญกับการเลือกผู้รับเหมาที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เพราะจะช่วยให้การติดตั้งเป็นไปอย่างเรียบร้อย ปลอดภัย และคุ้มค่าทุกบาททุกสตางค์ที่ลงทุนไป

ช่องทางการสั่งซื้อ